
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพที่ทุ่งพระอุทัย หรือในปัจจุบันเรียกว่า ทุ่งหันตรา โดยเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จะยกกองทัพลงไปตีเมืองพระนครหลวง (นครธม) นั้น ได้รวมพลและตั้งพลับพลาเพื่อประกอบพิธีกรรมตัดไม้ข่มนามที่ทุ่งพระอุทัย ขณะนั้นพระอัครชายาซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งพระราชวงศ์พระร่วง กำลังทรงพระครรภ์อยู่ ได้ออกไปส่งเสด็จ ได้ประสูติสมเด็จพระบรมไตรนาถที่พลับพลานั้น เมื่อปีกุน จุลศักราช 797 (พ.ศ. 1962 – ไทยสากล) ซึ่งในยวนพ่ายโคลงดั้น ระบุว่า “แถลงปางพระมาตรไท้ สมภพ ท่านนา แดนด่ำบลพระอุทัย ทุ่งกว้าง”
โดยที่พระนามเดิมคือ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นพระนามที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงถวายพระนามให้เมื่อเสด็จพระราชสมภพ
ทรงเจริญพระชันษาที่เมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงครองราชย์ 38 ปีเป็นระยะเวลาที่เท่ากับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิคือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งอาณากรุงศรีอยุธยา โดยเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และก็ยังเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระอินทราชา มีพระราชมารดาเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง พระนามมีความหมายถึง “พระพุทธเจ้า” หรือ “พระอิศวร” มีผู้ที่เข้าใจว่าคงเป็นพระสหายมาตั้งแต่วัยเยาว์ชื่อ “ยุทธิษเฐียร” ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นผู้ชักนำศึกเข้ามา หลังการขึ้นครองราชย์แล้ว ก็เสด็จมาประทับที่อยุธยาในช่วงแรกของการครองราชย์ อีกครึ่งหนึ่งเสด็จมาประทับที่พิษณุโลก เชื่อว่าคงเป็นไปเพื่อการควบคุมดูแลหัวเมืองทางด้านเหนือ และคานอำนาจของอาณาจักรทางเหนือ คือ อาณาจักรล้านนา ซึ่งกำลังมีความเข้มแข็งและต้องการแผ่อำนาจลงมาทางใต้ ในยุคของพระเจ้าติโลกราช
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2032 เมื่อพระชนมายุ 70 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 38 ปี ยาวนานที่สุดของอาณาจักรอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาประมาณ 20 ปี ที่เหลือทรงประทับที่เมืองพิษณุโลกตลอดรัชกาล
ประวัติการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ “สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ”
ในสมัย พลโท รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ ดำรงตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ได้ขออนุมัติกองทัพบก ตั้งชื่อค่าย เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2529 ว่า “ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ” เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงนานัปการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับจังหวัดพิษณุโลก กองทัพบกจึงได้ขอพระราชทานชื่อค่ายตามที่ กองทัพภาคที่ 3 เสนอ สำนักราชเลขาธิการได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามค่ายตามที่ขอพระราชทาน
เนื่องด้วย กองพลพัฒนาที่ 3 และหน่วยขึ้นตรง ได้รับพระราชทานพระนามสมเด็จพระบรม-ไตรโลกนาถ มาเป็นนามของค่าย พลตรี ณรงค์ มหาคุณ ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 3 ในขณะนั้น ได้ริเริ่มจัดโครงการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมใจ ความศรัทธา ของเหล่าข้าราชการ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ที่จะได้น้อมรำลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณต่อประเทศชาติ ปวงชนชาวไทย และเพื่อให้ข้าราชการภายในค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงาน
การดำเนินการก่อสร้างพระบรมราชานุเสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ ซึ่งขอให้กรมศิลปากรพิจารณาบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง รูปแบบพระบรมราชานุสาวรีย์ตลอดจนขนาด รายการ ประมาณราคาดำเนินการ และควบคุมงานจนกว่าจะแล้วเสร็จ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องตามแบบโบราณราชประเพณี ซึ่งสถานที่ก่อสร้างอยู่บริเวณพื้นที่หน้ากองบัญชาการกองพลพัฒนาที่ 3 ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ตำบลสมอแข อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การออกแบบและการก่อสร้าง แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ปรับพื้นที่ก่อสร้าง ส่วนกำหนดจุดก่อสร้าง และส่วนแท่นประดิษฐาน
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2539 กองพลพัฒนาที่ 3 ได้เชิญ พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐาน ส่วนองค์พระบรมราชานุสาวรีย์ ในการดำเนินการออกแบบและก่อสร้าง ดำเนินการโดยส่วนปฏิมากรรมกรมศิลปากร ในลักษณะประทับ พระอิริยาบถยืน ทรงถือพระคัมภีร์และทรงพระภูษา แบบอุบาสกผู้ทรงศีล มีขนาดความสูง 2 เมตร 75 เซนติเมตร
ในวันที่ 30 ธันวาคม 2538 กองพลพัฒนาที่ 3 ได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระอิสริยยศในขณะนั้น เสด็จประกอบพิธีเททองพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ วัดจุฬามณี อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ในเวลาต่อมากรมศิลปากรได้นำพระบรมราชานุสาวรีย์กลับไปดำเนินการตกแต่งให้สมบูรณ์ และกองพลพัฒนาที่ ๓ ได้ดำเนินการก่อสร้างแท่นฐานและปรับปรุงทัศนียภาพรอบบริเวณควบควบคู่กันไป จนถึงสมัย พลตรี ภณ วนากมล ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 3 ได้ดำเนินการสานต่อจนทุกอย่างพร้อมที่จะอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มาประดิษฐาน ณ หน้ากองบัญชาการกองพล ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 3 จึงได้หารือคณะกรรมการเพื่อกำหนดห้วงอัญเชิญ โดยมีกำหนดตั้งแต่ 7 ถึง 14 มกราคม 2541
วันที่ 7 มกราคม 2541 ได้อัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มายังวิหารพระมงคลบพิตร ในพระราชวังโบราณ อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเวลากลางคืนได้จัดให้มีการสมโภช เพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มาเคารพสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ ในวันที่ 8 มกราคม 2541 ขบวนได้เคลื่อนย้ายออกจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขึ้นเหนือมายังวัดจุฬามณี อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ในเวลากลางคืนมีมหรสพสมโภช ในวันที่ 9 มกราคม 2541 ได้เคลื่อนย้ายพระบรม ราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จากวัดจุฬามณีมาประดิษฐาน ณ หน้าพระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ในงานนี้ กองพลพัฒนาที่ 3 ได้จัดรูปขบวนยิ่งใหญ่สมพระเกียรติขบวนอัญเชิญ ผ่านย่านใจกลางเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ชาวพิษณุโลกได้รับทราบและชื่นชมพระบารมีพระบรมราชานุสาวรีย์ โดยประดิษฐานไว้หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ตั้งแต่วันที่ 9-11 มกราคม 2541 เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน โดยมีมหรสพสมโภชที่วัด 1 คืน ในวันที่ 12 มกราคม 2541 ขบวนอัญเชิญเคลื่อนย้ายพระบรมราชานุสาวรีย์ จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อไปประดิษฐาน ณ ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในวันที่ 13 มกราคม 2541 กองพลพัฒนาที่ 3 ได้จัดให้มีพิธีมังคลาภิเษกพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยนิมนต์พระเกจิอาจารย์จำนวน 9 รูป มาทำพิธี ในวันที่ 14 มกราคม 2541 ได้ดำเนินการจัดพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ขึ้นประดิษฐานบนแท่นที่เตรียมไว้ โดยมี พลโท ประวัติ เหมือนรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 นาย ดารา การุณยวนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และพระราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดและเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นประธานร่วมในพิธีอัญเชิญ ในเวลากลางคืนจัดให้มีมหรสพสมโภช
กองพลพัฒนาที่ 3 ทำหนังสือถึงราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระอิสริยยศในขณะนั้น ได้นำความกราบบังคมทูลฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงรับปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์เสด็จฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2541 เวลา 17.00 นาฬิกา